วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ในสถานศึกษา

สถานศึกษาส่วนใหญ่ในปัจจุบันแม้ว่าจะเริ่มให้ความสนใจต่อปัญหาการละเมิด ลิขสิทธิ์กันอย่างจริงจัง แต่จากสภาพความเป็นจริง พบว่า ครู บุคลากรทางการศึกษา รวมถึงนักเรียน นักศึกษา ยังขาดความเข้าใจในสิทธิของการไฟล์ข้อมูลมัลติมีเดียต่างๆ โดยเฉพาะการใช้โปรแกรมหรือตัวซอฟท์แวร์ที่มีอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ของหน่วยงานสถานศึกษาที่มีอยู่ว่าถูกต้องลิขสิทธิ์หรือไม่


 ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ในสถานศึกษา
ตามกฎหมาย การรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิ์ในโปรแกรม หรือซอฟท์แวร์ดังกล่าวจะตกเป็นของผู้ครอบครองการใช้งานในเครื่องคอมพิวเตอร์ นั้นๆ รวมถึงผู้บริหารสถานศึกษาแห่งนั้นด้วย
ลิขสิทธิ์ในที่นี้ มีอยู่ 3 ลักษณะ อันได้แก่
  1. ลิขสิทธิ์ในตัวโปรแกรมหรือ ซอฟท์แวร์ที่ติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สถานศึกษา
  2. ลิขสิทธิ์ของผลงานทางวิชาการของสถานศึกษา
  3. ลิขสิทธิ์ผลงานสื่อรูปแบบต่างๆที่นำเข้ามาไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของสถานศึกษา
    อาทิ ไฟล์เพลง ไฟล์วิดีทัศน์ หรือมัลติมีเดียในรูปแบบต่างๆที่จุดประสงค์หลักผู้สร้าง ทำไว้เพื่อเชิงพาณิชย์

ปัจจุบันพบว่าสถานศึกษามีศักยภาพในการจัดการศึกษา มีห้องคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ มีโปรแกรมสำหรับใช้ ดำเนินกิจกรรมทางการศึกษาที่หลากหลาย แต่สถานศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักถึงสิทธิที่มีในโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ เหล่านั้น ซึ่งพบว่า โปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ที่มีอยู่นั้นเป็นโปรแกรมซอฟท์แวร์ผิดกฎหมาย ละเมิดลิขสิทธ์แทบทั้งสิ้น นอกจากนี้การพัฒนาโครงข่ายของยสถานศึกษา เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน แต่ในเวลาเดียวกันก็พบว่า ช่องทางสำหรับการรับส่งสัญญาณ (Bandwidth) ของสถานศึกษานั้นอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยอาจเป็นแหล่งที่เก็บข้อมูล สื่อละเมิดสิทธิ์ และละเมิดลิขสิทธิ์ต่างๆ (อาทิ ผลงานทางวิชาการต่างๆ ไฟล์เพลง ไฟล์วิดีทัศน์ รูปภาพ ที่มีจุดประสงค์ในเชิงพานิชย์ โปรแกรมหรือ ซอฟท์แวร์ต่างๆ) และอาจเป็นเครือข่ายออนไลน์ที่เป็นต้นทางในการป้อนหรือคัดลอกข้อมูลให้แก่ ผู้ดาวน์โหลดทั่วโลก การใช้ไฟล์ร่วมกันอย่างผิดกฎหมาย (illegal file-sharing) อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เครือข่ายคอมพิวเตอร์ อันเนื่องมาจากการได้รับไวรัสคอมพิวเตอร์ การจารกรรมข้อมูล และการคุกคามความปลอดภัยทางข้อมูลของสถานศึกษาด้วย
การละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ทั้งครูผู้สอน ผู้เรียน ของหน่วยงานสถานศึกษาต้องถูกไต่สวนทางกฎหมาย ซึ่งถือได้ว่าการกระทำความผิด รวมถึงหน่วยงาน สถานศึกษาอาจต้องร่วมรับผิดชอบจากผลของการกระทำดังกล่าวด้วยเช่นกัน

ตามหลักการแล้วสถาบันการศึกษามีหน้าที่ในการสร้างทัศนคติของนักศึกษาที่มี ต่อเรื่องลิขสิทธิ์ ซึ่งก็มีขั้นตอนมาก มายที่สถาบันการศึกษาสามารถทำได้และควรกระทำเพื่อเป็นการป้องกัน หรือเฝ้าระวังพฤติกรรมการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งเกียวโยงถึงปัญหาด้านความปลอดภัยต่อเครือข่าย รวมถึงการสื่อสารการทำความเข้าใจและให้ความรู้แก่นักศึกษา และบุคคลากรที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง การเฝ้าระวังเพื่อให้สภาวะออนไลน์มีความปลอดภัย และการใช้เครื่องมือป้องกัน ทางเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ

 การวิเคราะห์ปัญหา
ปัจจัยหลักที่พบในหน่วยงานสถานศึกษา ส่วนใหญ่ มาจากการใช้งานซอฟท์แวร์เถื่อน การเข้าถึงข้อมูลออนไลน์แล้วนำไปแสวงหาผลประโยชน์ ทั้งส่วนตนเอง และทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นผลงานทางวิชาการ สื่อมัลติมีเดีย จำพวกเพลง วิดีทัศน์ ที่มีผู้นำมาวางไว้บนเครือข่าย ปัญหาเหล่านี้มาจาก การขาดงบประมาณด้านการซื้อซอฟท์แวร์ ขาดการให้ความรู้ด้านสิทธิในซอฟท์แวร์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ หรือสิทธิของการใช้สื่อมัลติมีเดีย เพราะผู้ใช้ในหน่วยงาน สถานศึกษา ต่างไม่ได้รับรู้ว่า โปรแกรมการใช้งานที่มีอยู่ในเครื่องของหน่วยงานสถานศึกษานั้นถูกกฎหมายหรือ ไม่ บางรายไม่เข้าใจถึงสิทธิการครอบครองของซอฟท์แวร์ ที่สำคัญเป็นความเคยชินในการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องต่างเข้าใจ ว่า เมื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็จะได้โปรแกรมต่างๆ ติดมาด้วย ดังนั้น หน่วยงาน สถานศึกษา จำเป็นต้องมีการให้ความรู้ และให้เกิดการตระหนักของการใช้งานคอมพิวเตอร์ รวมถึงสิทธิต่างๆที่ผู้ใช้งานจำเป็นต้องรับทราบ

แนวทางการแก้ไขปัญหา
หน่วยงานทางการศึกษา บุคลากรในองค์กร ต้องร่วมกันศึกษา วางแผน และดำเนินการ
  1. จัดแผนการพัฒนา การปรับปรุง การใช้โปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ลิขสิทธ์
    โดย การสำรวจความต้องการในหน่วยงานถึงความจำเป็นในการใช้โปรแกรม ทำการตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อปลดโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ที่ไม่จำเป็นต่อการใช้งานออกจากระบบ
  2. จัดงบประมาณเพื่อจัดซื้อโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์นำมาติดตั้ง
    ซึ่งงบ ประมาณดังกล่าวต้องใช้เป็นจำนวนมาก ไม่อาจเสร็จสิ้นในทันทีในปีหนึ่งได้ จึงต้องดำเนินการเป็นช่วงเวลาโดยอาจจะตั้งเป็นแผนระยะยาว 3-5 ปี
  3. การให้ความรู้ การสื่อสารทำความเข้าใจ รวมถึงข้อกฎหมาย กำหนดนโยบายด้านลิขสิทธิ์ที่เหมาะสม
    เร่ง รัดการให้ความรู้แก่ครูผู้สอนและผู้เรียนให้เข้าใจว่าการใช้โปรแกรมหรือ ซอฟท์แวร์ที่นำมาจากแหล่งอื่น ไม่ได้เป็นผู้ถือครองสิทธิ์ จึงไม่มีสิทธิ์ในการใช้ รวมถึงคัดลอกและการถ่ายโอนข้อมูล งาน หรือ ไฟล์เพลง ไฟล์วิดีโอ ไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ หรืองานที่สร้างสรรค์ของบุคคลอื่นๆโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการละเมิด ลิขสิทธิ์ และผิดกฎหมาย
  4. กำหนดแนวปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของเครือข่ายให้เป็นมาตรการของสถานศึกษา
    มี คณะทำงานเพื่อทำการตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในคอมพิวเตอร์และลบเนื้อหาหรือข้อมูล ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ออก นอกจากกรณีที่สถาบันการศึกษา ต้องตรวจสอบระบบคอมพิวเตอร์ของสถานศึกษา เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ อาทิ การใช้โปรแกรมหรือซอฟแวร์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไฟล์เพลง ไฟล์วิดีโอ ไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ และงานสร้างสรรค์ประเภทอื่นๆ ที่มีลิขสิทธิ์ไว้ในรายการเพื่อที่ต้องทำการตรวจสอบอีกด้วย

    โดยปกติ แล้ว เจ้าของลิขสิทธิ์ในงานสิ่งบันทึกเสียงที่มีการจำหน่ายในปัจจุบัน อาทิ เช่น เทป, ซีดี, ดีวีดี รวมถึง การอนุญาตให้ดาวน์โหลดผ่านระบบออนไลน์ ไม่เคยอนุญาตให้มีการคัดลอกสำเนาเพลง, ไม่เคยอนุญาตให้มีการจัดเก็บข้อมูลบนเครือข่ายออนไลน์ และไม่เคยอนุญาตให้มีการแจกจ่ายเพลงอันมี ลิขสิทธิ์เหล่านั้นทางอินเตอร์เน็ต ยกเว้นจะดำเนินการโดยผ่านผู้ให้บริการทางดนตรี หรือเสียงเพลงที่ได้รับการรับรองโดยถูกต้องตามกฎหมาย หรือภายใต้สัญญาข้อตกลงที่ชัดเจนจากเจ้าของลิขสิทธิ์

ดังนั้น..... “การ ทำซ้ำเพื่อส่วนตัว” “การใช้งานเพื่อการศึกษา” “การใช้งานตามข้อยกเว้นของกฏหมาย” “การทำสำเนาเพื่อการทดลองใช้” หรือข้ออ้างอื่นใดดังกล่าว ไม่ได้มีความหมายว่าเป็นการอนุญาตให้มีการจัดเก็บหรือส่งต่อเพลง หรือข้อมูลในสิ่งบันทึกเสียงที่จัดทำเพื่อจำหน่ายในทางการค้าผ่านระบบห้อง สมุด หรือผ่านเครือข่ายของสถานศึกษาใดๆ


     5. ศึกษาแนวทางการนำเทคโนโลยีเพื่อควบคุมการใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกัน (FILE-SHARING)
         ปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีใหม่ๆที่ออกมาจำหน่ายเพื่อวัตถุประสงค์ ในการจัดการหรือป้องกันพฤติกรรมการใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกันที่ผิดกฏหมายอย่างมี ประสิทธิภาพโดยเฉพาะ การป้องกันการใช้โปรแกรมการแลกเปลี่ยนไฟล์โดยตรงโดยไม่ผ่านเซิร์ฟเวอร์กลาง (P2P) ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตการจำกัดการติดตั้งซอฟแวร์และกิจกรรมการใช้ไฟล์ร่วมกัน ที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่ถูกต้องบนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยนั้น เป็นแนวทางง่าย ๆ แนวทางหนึ่งในการลดปัญหาด้านลิขสิทธิ์และความปลอดภัย หยุดการละเมิดลิขสิทธิ์ในวงกว้างก่อนที่จะเกิดการละเมิดขึ้น


การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์คือการคัดลอกหรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์โดย ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งสามารถกระทำได้ด้วยการคัดลอก ดาวน์โหลด แลกเปลี่ยน ขาย หรือติดตั้งหลายสำเนาไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวหรือที่ทำงาน สิ่งที่ผู้คนจำนวนมากไม่ได้ตระหนักหรือคาดคิดคือเมื่อคุณซื้อซอฟต์แวร์ จะหมายถึงคุณกำลังซื้อใบอนุญาตเพื่อใช้ซอฟต์แวร์ ไม่ใช่การซื้อซอฟต์แวร์จริง ใบอนุญาตจะบอกคุณให้ทราบถึงจำนวนครั้งที่คุณสามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ได้ ดังนั้นจึงมีความสำคัญมากที่จะต้องอ่าน หากคุณคัดลอกซอฟต์แวร์มากกว่าที่ใบอนุญาตกำหนด นั่นหมายถึงคุณกำลังโจรกรรม


ปัจจุบันพบว่า อัตราการละเมิดสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นส่วนบุคคล การล่วงละเมิดไปยังองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน มีอีตราแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าใน 20 อันดับของประเทศทั่วโลก ยังไม่ปรากฎประเทศไทย แต่จากการประเมินเฉพาะการละเมิดลิขสิทธิ์ทางด้านซอฟท์แวร์อย่างเดียวโดย BSA ประเทศไทยก็อยู่ในลำดับต้นๆของธุรกิจซอฟท์แวร์เถื่อน นอกจากนี้การบุกรุกเข้าเครือข่ายของภาครัฐและเอกชน เริ่มมี การเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง ทำให้หน่วยงาน ทั้งราชการต้องให้ความสำคัญต่อภัยร้ายในด้านนี้ โดยกำหนดลงในเกณฑ์การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ว่าด้วยส่วนราชการจะต้องมีระบบรองรับภาวะฉุกเฉินด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งได้ดำเนินการให้ส่วนราชการทุกหน่วยงานในสังกัดของทุกกระทรวง ได้จัดทำแผนสำรองภาวะฉุกเฉินด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นแระจำทุกปี อย่างต่อเนื่อง

ขอบคุณข้อมูลจาก http://teacher80std.blogspot.com/2012/07/127.html

5 ความคิดเห็น:

  1. มีสาระมีความรู้มากค่ะ

    ตอบลบ
  2. ให้ความรู้มากคับ

    ตอบลบ
  3. เนื้อหามีสาระมาก ๆ

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณที่ให้ความรู้ครับ

    ตอบลบ
  5. เจ๋งๆๆ รายงานเสดเพราะนาย ขอบใจมว๊ากๆๆ เจ้าของบล๊อก

    ตอบลบ